ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของนายพีรกรานต์ ศุภโกศลครับ
สวัสดีผู้ที่เยี่ยมชมบล็อกท่าน บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อการเรียนการสอนเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีเนื้อหาเกี่ยวกับ

1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
2.ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3.การสื่อสารการเรียนการสอน
4.คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
5.ซอฟต์แวร์
6.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
7.อินเตอร์เน็ต
8.ห้องสมุดรอิเล็กทรอนอกส์และอ้างอิง
9.การประยุค์ใช้ ผู้จัดทำหวังว่าเนื้อหาทั้งหมดจะเป็นประโยช์ต่อผู้ชมทุกท่านครับ

หน่าวยที่ 8

หน่วยที่ 8 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนอผลงานหลักการนำเสนอผลงาน


          การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนอผลงานหลักการนำเสนอผลงานใน หน่วยการเรียนรู้ก่อนๆ ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานรูปแบบต่าง ๆ มาบ้างแล้ว การสร้างผลงานที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้และทักษะตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการสะสมประสบการณ์จากการที่ได้พบเห็นตัวอย่างและเรียน รู้จากตัวอย่าง
ในหน่วยการเรียนรู้นี้ จะกล่าวถึงการนำเสนอผลงานโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่หาได้ทั่วไป การนำเสนอผลงานมีวัตถุประสงค์คือ
     1. ให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ
     2. ให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ


หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญคือ
     -การดึงดูดความสนใจ โดยการออกแบบสิ่งที่ปรากฎต่อสายตานั่นชวนมอง และมีความสบายตาสบายใจเมื่อมอง ดังนั้นการเลือกองค์ประกอบต่างๆ เช่นสีพื้น แบบ สีและ ขนาดของอักษร
     -ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา ส่วนที่เป็นข้อความสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน ส่วนที่เป็นภาพประกอบต้องมีส่วนสัมผัสอย่างสร้างสรรค์กัขข้อความที่ชัดเจนสื่อควมหมาย
     -ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น กลุ่มหมายเป็นเด็กการใช้สีสดใสและภาพการ์ตูนมีความเหมาะสมเป็นต้น

เครื่องมือที่ใช้ในการนำเนอผลงาน

        ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ การนำเสนอผลงานในที่ประชุมสัมมนามักจะใช้เครื่องมือสองอย่างคือ เครื่องฉายสไลด์ (Slide projector) และเครื่องฉายแผ่นใส(Overheard projector)การ ใช้งานเครื่องฉายสไลด์ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องใช้กล้องถ่ายรูปใส่ฟิล์มพิเศษที่ล้างออกมาแล้วเป็นภาพสำหรับฉายโดย เฉพาะ และต้องนำฟิล์มนั้นมาตัดใส่กรอบพิเศษจึงจะนำมาเข้าเครื่องฉายได้ ข้อดีของการฉายสไลด์คือได้ภาพที่สวยงามและชัดเจนแต่ข้อเสียคือต้องฉายในห้อง ที่มืดมาก เครื่องฉายแผ่นใสเป็นเครื่องที่ใช้งานทั่วไปได้มากกว่า แผ่นใสที่ใช้ตามปกติมีขนาดประมาณ 8 นิ้วคูณ 10 นิ้ว มีสองแบบคือแบบใช้ปากกา(พิเศษ)เขียน กับแบบที่ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นใสแบบใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารใช้เขียนได้แต่แบบเขียนใช้กับเครื่องถ่าย เอกสารไม่ได้เพราะแผ่นใสจะละลายติดเครื่องถ่ายเอกสารทำให้เครื่องเสียเวลา ซื้อแผ่นใสจึงต้องใช้ความระมัดระวังดูให้ดีว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการ หรือไม่ การฉายแผ่นใสสามารถทำได้ในห้องที่ไม่ต้องมืดมาก
         เมื่อมาถึงยุคคอมพิวเตอร์ เครื่องมือที่ใช้นำเสนอผลงานก็เปลี่ยนไป เครื่องมือหลัก คือเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Data projector) เครื่อง ฉายภาพคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ มีขนาดใหญ่ต้องติดตั้งประจำที่ ข้างในมีหลอดภาพ 3 หลอด ทำให้เกิดภาพแต่ละสีฉายผ่านเลนส์ออกมาปรากฏภาพบนหน้าจอ ความคมชัดยังไม่ดีนักและความสว่างของภาพก็ไม่มากพอ ทำให้ต้องฉายในห้องที่ค่อนข้างมืด เครื่องฉายรุ่นใหม่ได้แก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้ได้หมดแล้ว โดยใช้แผ่นผลึกเหลว (Liquid Crystal Display หรือ LCD) เป็นตัวสร้างภาพ ทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลงมาจนสามารถพกพาได้ อีกทั้งความสว่างและความคมชัดก็ดีขึ้นมากจนสามารถฉายในห้องที่มีแสงสว่าง ปานกลาง ได้





ภาพเครื่องฉายสไลด์





ภาพเครื่องฉายแผ่นใส




ภาพเครื่องฉาย Data Projector หรือ LDC Projector

       การนำเสนอผลงาน คือ คำบรรยายหรือบทพากย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านโสตหรือเสียง ข้อพิจารณา ในเรื่องนี้มีดังต่อไปนี้
          -การบรรยายสด เหมาะสำหรับประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วมเพราะผู้บรรยายในกรณีนี้เป็นผู้ที่รู้เรื่งราวเกี่ยวกับเนื้อหาเป็นอย่างดี รู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดใดและปฏิกริยาจากผู้ชมสามารถติดตามทำความเข้าใจ
        -การพากย์ เหมาะสำหรับเนื้อหาที่ถ่ายทอดได้โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วม สามารถเลือใช้ดนตรี หรือเสียงประกอบ

รูปแบบการนำเสนอผลงาน

ในหัวข้อนี้ จะกล่าวถึงรูปแบบการนำเสนอผลงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ รูปแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 2 รูปแบบ คือ
     1. การนำเสนอแบบ Slide Presentation
     2· โดยใช้โปรแกรม Power Point เป็นโปรแกรมนำเสนอผลงานในชุด Microsoft Office เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่ายมากมีแม่แบบให้เลือกหลายแบบ องค์ประกอบหลักของแต่ละหน้าของการนำเสนอคือ หัวข้อ





          3·โดยใช้โปรแกรม ProShow Gold ProShow Gold 2.0 เป็นซอฟต์แวร์สำหรับสร้างแผ่น VCD จากรูปภาพต่าง ๆ ที่ทำงานได้รวดเร็ว หลายคนคงจะมีไฟล์รูปภาพต่าง ๆ เก็บสะสมไว้ และเมื่อต้องการที่จะนำเอาภาพเหล่านั้น มาแปลงให้อยู่ในรูปแบบของแผ่น VCD ที่สามารถนำเอาไปใช้เปิดกับ เครื่องเล่น VCD ทั่วไปได้ ต้องมาลองดูซอฟต์แวร์ตัวนี้ครับ ProShow เป็นซอฟต์แวร์ ที่สามารถนำเอาภาพ มาทำเป็นแผ่น VCD โดยที่สามารถทำการแปลงได้อย่างรวดเร็ว และยังใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วย
        โดยทั่วไปแล้ว ซอฟต์แวร์สำหรับการทำแผ่น VCD จากรูปภาพจะมีหลายตัว แต่ที่แนะนำ ProShow เนื่องจากเหตุผลหลักคือ การใช้เวลาทำการแปลงที่รวดเร็วมาก ปกติถ้าเป็นซอฟต์แวร์ตัวอื่น จะใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ตัว ProShow นี้ใช้เวลาแปลง ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ภาพที่ได้ก็จัดอยู่ในคุณภาพดี โดยข้อเสียที่พบในตัวโปรแกรมนี้ คือค่อนข้างจะมีความยุ่งยาก ในขั้นตอนของการใช้งานบ้าง แต่ก็ไม่มากมายอะไรนัก
        การเตรียมข้อมูลของภาพและเพลงต่าง ๆ ก่อนที่จะเริ่มติดตั้งและใช้งาน
        ก่อนอื่น ก็ต้องทำการหาดาวน์โหลดซอฟต์แวร์นี้มาก่อน โดยสามารถหาได้จาก http://www.photodex.com และหารหัส สำหรับการลงทะเบียนจากเว็บไซต์ทั่วไปกันเองครับ จากนั้น สิ่งต่อไปที่จะต้องมีก็คือ ไฟล์รูปภาพต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นไฟล์ .jpg ก็ได้ และไฟล์ของเพลงที่จะนำมาใส่ประกอบ ซึ่งจะใช้เพลงแบบ MP3 ทั่วไปก็ได้ครับ สุดท้ายก็คือ เครื่องเขียนซีพีหรือ CD-R Writer สำหรับใช้ในการเขียนแผ่น VCD ที่จะได้ เมื่อเตรียมไฟล์ต่าง ๆ พร้อมแล้ว ก็เริ่มต้น ขั้นตอนการติดตั้งกันได้เลย เริ่มต้นการติดตั้ง โดยการเรียกไฟล์สำหรับติดตั้ง ProShow gold ก่อน




          4·โปรแกรม Flip Album โปรแกรม Flip Album 6 Pro เป็นโปรแกรมลักษณะของโปรแกรมสำเร็จรูป โดยโปรแกรมชุดFilpAlbum เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book ซึ่ง อีบุ๊ค” (eBook, EBook, e-Book) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจัดทำขึ้นด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และ สามารถอ่านได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์เหมือนเปิดอ่านจากหนังสือโดยตรงที่เป็นกระดาษ แต่ไม่มีการเข้าเล่ม เหมือนหนังสือที่เป็นกระดาษ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีความสามารถมากมายคือ มีการเชื่อมโยง (Link)กับ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มอื่นๆ ได้
ซอฟต์แวร์สำหรับการเขียนข้อมูลให้ออกมาเป็น E-Book และ ซอฟต์แวร์สำหรับการอ่านมีอยู่หลายโปรแกรม แต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่
     1. โปรแกรมชุด FilpAlbum
     2. โปรแกรม DeskTop Author 3. โปรแกรม Flip Flash Album
ชุดโปรแกรมทั้ง 3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ ประกอบด้วย
        1.1 โปรแกรมชุด FlipAlbum ตัวอ่านคือ FilpViewer
        1.2 โปรแกรมชุด DeskTop Author ตัวอ่านคือ DNL Reader
        1.3 โปรแกรมชุด Flip Flash Album ตัวอ่านคือ Flash Player




ลักษณะไฟล์ของ Electronic Book
        HTML เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดงานประเภทนี้จะมีนามสกุลของไฟล์หลายๆ แบบเช่น.htm หรือ .html เป็นต้น สาเหตุหลักที่ได้รับความนิยมสูงสุดนั้นมาจากบราวเซอร์สำหรับเข้าชมเว็บต่าง ๆ เช่นInternet Explorer หรือ Netscape Communication ที่ใช้กันทั่วโลกสามารถอ่านไฟล์ HTML ได้ สำหรับไฟล์XML ก็มีลักษณะเดียวกับไฟล์ HTML นั่นเอง
         PDF Portable หรือ Document Format ถูกพัฒนาโดย Adobe System Inc เพื่อจัดการเอกสารให้อยู่ใน รูปแบบที่เหมือนเอกสารพร้อมพิมพ์ ไฟล์ประเภทนี้สามารถอ่านได้โดยระบบปฏิบัติการจํานวนมากและรวมถึง อุปกรณ์ E-Book Reader ของ Adobe ด้วย
PML พัฒนาโดย Peanut Press เพื่อใช้สําหรับสร้าง E-Books โดยเฉพาะอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่ สนับสนุนไฟล์ประเภท PML นี้จะสนับสนุนไฟล์นามสกุล .PDF ด้วย (หมายเหตุ ข้อมูลจาก www.j-joy.co.th)

วิธีการที่ใช้กับการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ด้วยโปรแกรมในตระกูล Flip Album

      1. เตรียมความพร้อมเพื่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
      2. ทำความรู้จักกับโปรแกรม Flip Album 6 Pro ผู้ใช้งานจะต้องติดตั้งตัวโปรแกรม (install) ลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะส่วนบุคคล (Personal Computer) หรือเครื่องพกพาแบบโน๊ตบุ๊ค (Note Book) ก็ได้ ขณะปฏิบัติการงานสร้างนั้น คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อระบบเครือข่ายก็ได้
      3. การติดตั้งโปรแกรม Flip Album 6 Pro
      4. การเข้าสู่โปรแกรม Flip Album 6 Pro การเข้าสู่โปรแกรมมีวิธีการหลัก 2 วิธี คือ 1.) เข้าโดย Dubble Click ที่รูปภาพหนังสือสีแดงบนหน้า Desktop หรือ 2.) เข้าโดย Click ที่ปุ่ม Start/Program/E-Book Sytems/FlipAlbum 6 Pro/FlipAlbum Pro
      5. การสร้างสรรค์งานโปรแกรม Flip Album 6 Pro ซึ่งสามารถมีการเพิ่มหน้าหนังสือแบบอัตโนมัติ

      6. การนำเข้าข้อมูลจากภาพกราฟิค (Digital Pictures) การนำเข้าข้อความมาจัดพิมพ์ใส่ใน หนังสือ รวมถึงการนำเข้าข้อความจาก Microsoft Word และ PowerPoint มาสร้าง e-book
      7. การนำไฟล์ PDF มาสร้าง e-book การตกแต่งหนังสือ (Set Book Option) การแทรกภาพนิ่ง (Insert Clip Art) การจัดทำไฟล์วีดิทัศน์ (Video)


แสดงการตกแต่งหนังสือ โดยใช้เมนู Set Book Option


2 รูปแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) Computer Assisted Instruction


         Computer Assisted Instruction CAI คือ โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่มีหน้าที่เป็นสื่อการเรียนการสอนเหมือนแผ่นใส (Transparent) สไลด์ (Slide) หรือวีดีทัศน์ (Video) ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายในเวลาอันจำกัด และตรงตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนนั้น ๆ แต่เนื่องจากโปรแกรมเรียนคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ได้ครบทุกสื่อในเวลาเดียวและควบคุมการนำเสนอได้ด้วยตัวเอง เรียกว่า “สื่ออเนกทัศน์” หรือ “ มัลติมีเดีย” (Multimedia) ทำให้ประหยัดและมีประสิทธิภาพสรุปได้ว่า CAI คือ
       - เป็นสื่อการเรียนการสอน ช่วยผู้สอนทำการสอน
       - เนื้อหาในโปรแกรมจะเป็นหน่วย ๆ ตามบทเรียนนั้น ๆ
       - ผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนเนื้อหา ศึกษาด้วยตนเอง
       - ผู้สอนผู้สอน หรือผู้มีประสบการณ์ในเนื้อหาวิชานั้น ๆ จะทำได้ดีที่สุด

            การจัดทำ CAI ที่ดีนั้น ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ
    1. นักวิชาการ (Academic Expert)
    2. นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Programmer)
    3. นักสร้างสรรค์ (Producer) 4. นักศิลปะ (Artist)
          คอมพิวเตอร์ช่วยสอน Computer Assisted Instruction หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อาศัยคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้โดยจัดเนื้อหาสาระหรือประสบการณ์สำหรับให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ประโยชน์ของการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการเรียนรู้
    1. ใช้เพื่อจัดการในชั้นเรียน (Classroom Management) เช่น
          - เก็บข้อมูลสถิติรวมทั้งระเบียนสะสมของผู้เรียนเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเป็นรายบุคคล - ใช้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
          - เตรียมงานด้านการสอน เช่น ใบความรู้ ใบงาน ข้อทดสอบ ฯลฯ
         - สร้างเครือข่ายฐานข้อมูลผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานผู้เรียน (Electronic portfolio)ฯลฯ

    2. ใช้ในการจัดการเรียนการสอน (Instruction) เช่น
การนำเสนอผลงาน (Presentation)ของผู้สอน
        - ในลักษณะสื่อประสม (Multimedia) เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าความสนใจ เช่น เสียงเพลง ภาพเคลื่อนไหวในวีดีโอ กราฟสถิติ รูปภาพ/ภาพถ่าย ฯลฯ - ในลักษณะการจำลองสถานการณ์หรือการจำลองแบบ (Simulation) ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย

      การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) โดยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อหรือช่องทางในการนำเสนอเนื้อหาซึ่งอาจเป็นกิจกรรมในรูปแบบต่างๆโดยมุ่งให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาด้วยตัวเอง ตามความพร้อมและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลักการพิจารณาดังนี้
    1. ต้องมีเนื้อหาสาระ มีการเรียบเรียงเป็นอย่างดี
    2. ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
    3. สามารถตอบโต้หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้เรียน
   4. สามารถให้ป้อนกลับได้ทันที

         ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) สามารถสรุปได้เป็นแผนภูมิได้ดังนี้

     ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน - ขั้นการนำเสนอเนื้อหา - ขั้นคำถามและคำตอบ - ขั้นตรวจคำตอบ - ขั้นการปิดบทเรียน

     การสร้างและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
แฮนนิฟิลและเพค (Hannafin and Peck) อ้างถึงใน บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543 : 71 - 74) ได้ให้ข้อคำนึงในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและลักษณะของการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดีไว้ 12 ประการ ดังนี้

     1. สร้างขึ้นตามจุดประสงของการสอนเพื่อที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนได้จากบทเรียนนั้น ได้มีความรู้และทักษะตลอดจนทัศนคติของผู้สอนได้ตั้งไว้ให้ผู้เรียนสามารถประเมินผลด้วยตนเองว่าบรรลุจุดประสงค์ในแต่ละข้อหรือไม
    2. บทเรียนที่ดีควรเหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน การสร้างบทเรียนจะต้องคำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถพื้นฐานอยู่ในระดับใด ไม่ควรที่จะยากหรือง่ายจนเกินไป
    3. บทเรียนที่ดีควรปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนให้มากที่สุดการเรียนจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรมีประสิทธิภาพมากกว่าเรียนจากหนังสือเพราะสามารถสื่อสารกับผู้เรียนได้ 2 ทาง
    4. บทเรียนที่ดีควรจะมีลักษณะเป็นการสอนรายบุคคล ผู้เรียนสามารถที่จะเลือกเรียนหัวข้อที่ตนเองมีความสนใจและต้องการที่จะเรียนและสามารถที่จะข้ามบทเรียนที่ตนเองเข้าใจแล้วได้ แต่ถ้าบทเรียนที่ตนเองยังไม่เข้าใจก็สามารถเรียนซ้อมเสริมจากข้อแนะนำของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้
    5. บทเรียนที่ดีควรคำนึงถึงความสนใจของผู้เรียน ควรมีลักษณะเร้าความสนใจของผู้เรียนได้ตลอดเวลา เพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนอยู่เสมอ
    6. บทเรียนที่ดีควรสร้างความรู้สึกในทางบวกของผู้เรียนควรทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน เกิดกำลังใจและควรที่จะหลีกเลี่ยงการลงโทษ
    7. ควรจัดทำบทเรียนให้สามารถแสดงผลย้อนกลับไปยังผู้เรียนให้มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงย้อนกลับในทางบวก ซึ่งจะสามารถทำให้ผู้เรียนชอบและไม่เบื่อหน่าย
    8. บทเรียนที่ดีควรเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอนบทเรียนควรปรับเปลี่ยนให้ง่ายต่อกลุ่มผู้เรียน เหมาะกับการจัดตารางเวลาเรียน สถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์มีความเหมาะสมควรคำนึงถึงการใส่เสียง ระดับเสียงหรือดนตรีประกอบควรให้เป็นที่ดึงดูดใจผู้เรียนด้วย
    9. บทเรียนที่ดีควรมีวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียนอย่างเหมาะสม ควรหลีกเลี่ยงคำถามที่ง่ายตรงเกินไป หรือไร้ความหมาย การเฉลยคำตอบควรให้แจ่มแจ้งไม่คลุมเครือและไม่ควรเกิดความสับสน
   10. บทเรียนควรใช้กับคอมพิวเตอร์ที่จะเป็นแหล่งทรัพยากรทางการเรียนอย่างชาญฉลาดไม่ควรเสนอบทเรียนในรูปอักษรอย่างเดียวหรือเรื่องราวที่พิมพ์เป็นอักษรโดยตลอดควรใช้สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่ เช่น การเสนอด้วยภาพ ภาพเคลื่อนไหว ผสมตัวอักษรหรือให้มีเสียงหรือแสงเน้นที่สำคัญ หรือวลีต่างๆ เพื่อขยายความคิดของผู้เรียนให้กว้างไกลมากขึ้น ผู้ที่สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรตระหนักในสมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ตลอด ข้อจำกัดต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ด้วย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียบางสิ่งบางอย่างของสมรรถนะของคอมพิวเตอร์ไป เช่น ภาพเคลื่อนไหวปรากฏช้าเกินไป การแบ่งส่วนย่อยๆ ของโปรแกรมมีขนาดใหญ่เกินไปทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้
   11. บทเรียนที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบการสอนคล้ายๆกับการผลิตสื่อชนิดอื่นๆ การออกแบบทเรียนที่ดีย่อยจะสามารถเร้าความสนใจของผู้เรียนได้มาก การออกแบบบทเรียนย่อมประกอบด้วยการตั้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน การจัดลำดับขั้นต้อนของการสอนการสำรวจทักษะที่จำเป็นต่อผู้เรียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ จึงควรจัดลำดับขั้นตอนการสอนให้ดี มีการวัดผลและการประเมินผลย้อนกลับให้ผู้เรียนได้ทราบ มีแบบฝึกหัดพอเพียงและให้มีการประเมินผลของขั้นสุดท้าย เป็นต้น
    12. บทเรียนที่ดีควรมีการประเมินผลทุกแง่ทุกมุม เช่น การประเมินคุณภาพของผู้เรียนประสิทธิภาพของผู้เรียน ความสวยงาม ความตรงประเด็นและความตรงทัศนคติของผู้เรียน เป็นต้น

   3. รูปแบบ Social Network
      Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว) การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้ เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้ เช่น แสดงความคิดเห็น (Comment) กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ
      - การใช้เว็บบล็อก เพื่อการเรียนการสอน
Blog มาจากคำว่า World Wide Web ซึ่งหมายถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกันไปทั่วโลกกับคำว่า log แปลว่า บันทึก รวมกันเป็น Weblog นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Blog ซึ่งเป็นเว็บไซต์พันธุ์ใหม่รูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก สามารนำมาประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ได้กับแทบทุกวงการ การสร้างสรรค์ Weblog ทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะทางคอมพิวเตอร์มากนักก็สามารถทำได้อย่างสวยงามน่าทึ่ง ดังที่ท่านจะได้ลงมือปฏิบัติในครั้งนี้ 

  ประโยชน์ของ Weblog
          1. เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คน สาธารณะได้รับรู้
          2. เป็นเครื่องมือช่วยในด้านธุรกิจ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวขององค์กร การเสนอตัวอย่างสินค้า การขายสินค้า และการทำการตลาดออนไลน์ เป็นต้น
          3. เป็นแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน จากผู้มีความรู้เฉพาะด้านๆ นั้น เนื่องจากผู้เขียน Blog มักจะเขียนถึงเรื่องที่ตัวเองถนัด ชอบ และมีความรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ จึงทำให้เราค้นพบความรู้ และผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น
        4. ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย(ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
         5. ไม่ต้องใช้ความรู้ทางคอมพิวเตอร์ชั้นสูงก็สามารถทำได้
         6. ไม่ต้องของพื้นที่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเหมือนเว็บไซต์ทั่วไป
         7. สามารถบรรจุภาพนิ่ง เสียง และภาพเคลื่อนไหวเหมือนเว็บไซต์ทั่วไปได้
         8. สามารถใช้งานหรือปรับแต่งให้สวยงามได้ด้วยตนเอง นำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้ดี
         9. สำหรับ Weblog ของ Blogger สามารถบรรจุบทความได้มากถึง 999 บทความ
        10.สามารถสร้างสรรค์องค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับการทำงานได้หลายอย่าง เช่น ตัวเลขนับผู้ชม (counter) กระดานข่าว (web board) สไลด์(slides) คลิบวีดิทัศน์ (video clip) เป็นต้น
        11.สามารถเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ ได้ตามต้องการ
ด้วยคุณสมบัติที่ดีดังกล่าว ทำให้ weblog ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในวงการศึกษามีการนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนแบบผสมผสานได้เป็นอย่างดี weblog จะทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนหรือผู้เรียนกับผู้เรียนได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ผู้เรียนสามารถค้นคว้าความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทเรียนได้จากเว็บไซต์อื่นได้มากมายมหาศาล ทำให้ผู้เรียนเข้าถึงสาระของเนื้อหาที่สอนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ดังนั้น weblog จึงเป็นสื่อการสอนอีกชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้ครูอาจารย์จัดการเรียนการสอนได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

       -การนำเสนอแบบเว็บเพจ
การนำเสนอแบบเว็บเพจ เป็นรูปแบบการนำเสนอแบบเดียวกับที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตปัจจุบันนิยมใช้รูปแบบนี้มากขึ้นในการเสนอต่อที่ประชุม เว็บบราว์เซอร์
        (web browser) เป็นโปรแกรมที่ใช้แสดงผล ส่วนโปรแกรมที่ใช้สร้างเว็บเพจ (web page) หรือแต่ละหน้านั้นมีหลายวิธีทำได้หลายวิธี ตั้งแต่ดั้งเดิมที่สุด คือ การเขียนด้วยภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) หรือใช้โปรแกรมประเภท Software tool เช่น FrontPage Dreamweaver ข้อดีของการนำเสนอแบบนี้คือ สามารถสร้างความเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่างของเอกสารที่นำเสนอ ตลอดจนสามารถสร้างงการเชื่อมโยงเอกสารที่ต่างรูปแบบกัน เช่น สามารถคลิกคำว่า วิธีคำนวณ เพื่อเปิดตารางคำนวน Excel ที่แสดงรายการคำนวณ และเมื่อคลิกคำว่า คำอธิบาย จะไปเปิดเอกสาร Word นอกจากนี้ หากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการนำเสนอนั้น กำลังต่อเชื่องเข้าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ ก็สามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆบนอินเทอร์เน็ตได้ด้วย การนำเสนอแบบเว็บเพจนี้ใช้เวลาในการจัดทำมากกว่า แต่ด้วยความสามารถสูงกว่าและสามารถนำขึ้นเว็บไซต์ได้ทันที่ จึงทำให้การนำเสนอแบบนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อแนะนำในการสร้างเว็บเพจ

          ในการออกแบบสร้างเว็บเพจ มีองค์ประกอบอยู่หลายประการที่จะทำให้การสร้างเว็บเพจประสบความสำเร็จ ซึ่งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
        1.เลือกกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายเป็นคนในองค์กร หรือคนทั่วไป เป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ เป็นกลุ่มคนที่ความรู้ระดับใด ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาของเว็บเพจ
       2.การเลือกเนื้อหาเว็บเพจและปริมาณของข้อมูล การเลือกเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญในการเริ่มต้นสร้างเว็บเพจ ผู้เยี่ยมชมแต่ละกลุ่มจะค้นหาข้อมูลที่แตกต่างกัน เว็บเพจแต่ละหน้าจะสนองตอบต่อผู้ชมไม่หมือนกัน ดังนั้นการเลือกเนื้อหาที่ดี เนื้อหาที่น่าสนใจและใหม่เสมอทำให้ผู้เยี่ยมชมจะกลับมาเยี่ยมชมอีกครั้ง การใส่ข้อมูลที่ปริมาณมากเกินความจำเป็นจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดและไม่ดึงดูดความสนใจ
      3.การจัดเก็บแฟ้มข้อมูล โครงสร้างของเว็บมีความสำคัญในการจัดการดูแล การรักษาเว็บให้เป็นระเบียบการตรวจสอบความผิดพลาดของเว็บเพจจะทำได้ง่ายขึ้น เช่น การจัดแฟ้มรูปภาพและเว็บเพจที่เป็นเรื่องเดียวกันไว้ในไดเรกทอรีเดียวกัน
    4.เว็บเพจต้องสามารถใช้ได้กับบราวเซอร์หลายชนิดการสร้างเว็บเพจควรจะทำเพื่อให้สามารถนำไปแสดงผลได้กับบราวเซอร์แต่ละชนิด และเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็ควรจะถูกรองรับโดยบราวเซอร์เช่น เฟรม จาวา จาวาสคริปต์และพลักอินส์ เป็นต้น รวมทั้งการเลือกใช้แบบตัวอักษรภาษาไทย เนื่องจากบางบราวเซอร์ไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจึงควรตรวจสอบการแสดงผลผ่านบราวเซอร์ก่อน
     5.ความเร็วในการโหลดเว็บเพจ ความเร็วในการโหลดเว็บเพจเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เว็บเพจนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้าการโหลดเว็บเพจใช้เวลานานเกินไป หลายครั้งจะทำให้ผู้ชมหมดความอดทนแล้วเปลี่ยนไปหาข้อมูลที่อื่น ปัจจัยที่กระทบต่อความเร็ว ได้แก่ ขนาดของรูปภาพที่ใช้ จำนวนของรูปภาพที่ใช้ เทคนิคใหม่ๆ เช่น จาวา เอเอสพี พีเอ็ชพี และแฟลช เป็นต้น รวมถึงปริมาณของตัวอักษรที่อยู่บนหน้านั้นๆ ซึ่งมีผลให้การโหลดข้อมูลช้าหรือเร็ว ปริมาณข้อมูลในแต่ละเว็บเพจไม่ควรจะมากจนเกินไป ดังนั้นถ้ามีเนื้อหามากๆ ควรจะตัดแบ่งออกเป็นตอนๆ เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลด และยังเป็นการให้ผู้เข้าเยี่ยมชม อ่านง่ายยิ่งขึ้นด้วย
     6.ความง่ายในการค้นหาข้อมูลการวางตำแหน่งของข้อมูลหรือแถบนำทางทำให้ข้อมูลที่สำคัญๆ หาได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้เว็บเพจนั้นน่าใช้ การย้อนกลับไปหน้าก่อนและหลังแม้กระทั่งการย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเพจ ก็เป็นสิ่งที่เว็บเพจทุกหน้าควรจะมีเพื่อทำให้การท่องเว็บสะดวกและคล่องตัว ในบางครั้งถ้าสามารถให้บริการช่วยค้นหา (search) ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
     7.การเลือกใช้ตัวอักษร ฉากหลัง และสการเลือกโทนสีต้องให้เข้ากับเนื้อหาสาระของเว็บเพจนั้นถ้าเว็บนั้นกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับทะเลก็ควรใช้โทนสีฟ้า หรือฟ้าคราม สีขาว ไม่ควรใช้สีที่ฉูดฉาดและร้อนแรงแบบสีแดงเป็นสีพื้น ลักษณะของแบบตัวอักษร ขนาดของตัวอักษรก็เช่นเดียวกันถ้าตัวอักษรใหญ่หรือเล็กเกินไปจะทำให้องค์ประกอบรวมของเว็บนั้นเสียไป ถ้าต้องการกำหนดประเภทของตัวอักษร ควรใช้ที่เป็นสากลนิยม เช่น กรณีภาษาอังกฤษอาจใช้ Arial หรือ Times ส่วนภาษาไทยอาจใช้ Angsana หรือ MS Sans Serif น่าจะถือเป็นสากลนิยมของภาษาไทย การเลือกใช้ตัวอักษรภาษาไทยนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะในกรณีที่เครื่องผู้เข้าเยี่ยมชมไม่มีตัวอักษรนั้นๆ อาจทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถอ่านตัวอักษรได้เลย
     8.ขนาดและชนิดของรูปภาพ ภาพกราฟิกนั้นมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน อย่างไรก็ตามรูปภาพที่นิยมใช้กันในเว็บเพจมักมีส่วนขยายของไฟล์เป็น GIF และ JPEG เนื่องจากมีขนาดเล็ก ทำให้การโหลดเว็บทำได้เร็ว การพิจารณาเลือกใช้ภาพที่มีคุณภาพดี ถ้าเป็นภาพแต่งหรือภาพถ่ายที่มีสีมากๆ ควรใช้แฟ้มที่มีส่วนขยายเป็นJPEG แต่ถ้าเป็นแฟ้มภาพของปุ่มหรือป้ายที่มีสีจำนวนไม่มาก ก็ควรใช้แฟ้มที่มีส่วนขยายเป็นGIF
     9.ส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับเว็บเพจ สิ่งที่จะละเลยไม่ได้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับผู้จัดทำ อีเมล์ วันเวลาที่ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเว็บเพจ เพื่อที่ผู้ชมจะได้ติดต่อกับผู้จัดทำถ้ามีปัญหาใดๆ และทราบถึงวันเวลาที่เว็บเพจนี้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข และอาจมีหัวข้ออื่นๆ อีก เช่น ข้อเสนอแนะ (Feedback) คำถามที่ถูกถามบ่อย (FAQ – Frequency Asked Questions) เว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าสนใจที่ผู้เข้าเยี่ยมชมจะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ซึ่งหัวข้อเหล่านี้จะช่วยลดเวลาในการค้นหาข้อมูลของผู้เข้าเยี่ยมชมได้
     10.ตรวจสอบเว็บเพจก่อนนำเสนอ เพื่อความถูกต้องและความสวยงามของเว็บเพจ ก่อนที่จะนำเสนอควรตรวจสอบกับ เว็บบราวเซอร์ทั้ง เนสเคปคอมมูนิเคเตอร์และอินเทอร์เน็ตเอ๊กพลอเรอร์ ก่อน การออกแบบเว็บเพจอาจจะเหมาะสมกับความละเอียดภาพหนึ่งๆ

ข้อควรระวังในการเขียนเว็บเพจ
     1.ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้เฟรม เฟรมเป็นรูปแบบของเว็บเพจที่แบ่งหน้าจอออกเป็นหน้าต่างย่อยๆ ซึ่งอิสระต่อกันทำให้ใช้งานได้ง่าย แต่ในบางกรณีการใช้เฟรมสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้ได้ เช่น เมื่อเลือกหัวข้อย่อยข้อหนึ่งแล้วชื่อของ URL ในช่อง address ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่า ทำให้ผู้ใช้ไม่ทราบจุดอ้างอิงของตัวเองว่าตอนนี้อยู่ในเว็บเพจใด และจะกลับไปที่จุดเริ่มต้นได้อย่างไร
     2.การใช้เทคนิคมากเกินไป ไม่ควรใช้เทคนิคมากเกินความจำเป็น เช่น แฟลช จาวา หรือการใส่เสียงเบื้องหลังตลอดเวลา แม้ว่าเทคนิคเหล่านี้จะทำให้เว็บเพจดูสวยงาม และตื่นตาตื่นใจ แต่อาจจะทำให้โหลดช้า และน่าเบื่อในที่สุด
     3.ป้ายที่แสดงว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการ ไม่ควรนำสัญรูป (Icon)หรือป้ายที่แสดงว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการขึ้นมาเพราะการใช้วิธีการแบบนี้มักจะเกิดจากความไม่มั่นใจของผู้ออกแบบว่าเว็บเพจที่สร้างพร้อมที่จะออกแสดงหรือยัง ซึ่งในกรณีที่ยังไม่พร้อมก็ไม่ต้องนำขึ้นแสดง

 






รูปที่ 2.1 ป้ายที่แสดงว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการ

     4.การใช้ภาพกราฟิกขนาดใหญ่หรือปริมาณมากภาพกราฟิกที่มีขนาดใหญ่จะทำให้การโหลดช้า ผู้ออกแบบจะต้องละเว้นการใช้กราฟิกขนาดใหญ่หรือปริมาณมาก เพื่อที่จะเลี่ยงปัญหาคนออกจากเว็บไซต์เพราะรู้สึกเบื่อหน่าย การเลือกภาพกราฟิก ควรจะเลือกเฉพาะกราฟิกที่เพิ่มคุณค่าให้กับเนื้อเรื่อง
     5.การใช้ตัวอักษรหลายรูปแบบ
     6.การใช้ฉากหลังที่ซับซ้อนการใช้ฉากหลังที่ซับซ้อนทำให้การอ่านบทความไม่ชัด และในขณะเดียวกันผู้ออกแบบต้องระลึกไว้เสมอว่า ให้ใช้สีที่ตัดกันกับฉากหลังของบทความ หากบทความมีสีอ่อนให้ใช้ฉากหลังสีเข้ม ตรงกันข้ามกันถ้าบทความสีเข้มให้ใช้ฉากหลังสีอ่อน
     7.การใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไป การใช้ภาพเคลื่อนไหวทำให้เว็บเพจมีชีวิตชีวา แต่อย่างไรก็ตามการใส่ภาพที่เคลื่อนไหวมากเกินไป จะมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อทัศนวิสัย และดึงความสนใจของผู้ชมไปจากองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญ
     8.การเชื่อมโยงกลับไปยังหน้าหลักเว็บเพจแต่ละหน้าควรจะบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของเว็บไซต์ใดเพราะผู้ใช้บางรายอาจจะเข้าไปยังหน้ารองๆ ของเว็บไซด์โดยบังเอิญ โดยที่ไม่ผ่านโฮมเพจหลักและถ้าผู้ใช้ต้องการกลับไปที่หน้าแรกของโฮมเพจที่เข้ามาก็สามารถกลับไปดูได้โดยมีลิงก์ไปยังโฮมเพจหลักได้
     9.ไม่มีการจัดโครงสร้างเว็บเพจ เว็บเพจแต่ละหน้าควรจัดวางให้มีรูปแบบคล้ายกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหาเมื่อมีการเปิดเว็บหน้าถัดไปเนื่องจากมีรูปแบบเดียวกัน ถ้าแต่ละหน้ามีการวางโครงสร้างไว้ต่างกันมากจะทำให้เสียเวลาในการค้นหาข้อมูล
     10.เนื้อหาที่ไม่แตกต่างไปจากเว็บไซต์อื่นๆผู้เริ่มหัดเขียนโฮมเพจส่วนใหญ่จะเริ่มจาก “นี่คือโฮมเพจของฉัน” และพยายามใส่ข้อมูล รวมทั้งสร้างแหล่งเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งมักจะไปซ้ำกับเว็บไซต์อื่นๆ ดังนั้นก่อนจะเริ่มเขียนควรมีโครงร่างของเว็บที่เราจะนำเสนอที่มีความแตกต่างจากเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจมากกว่า
     11.การแสดงความเห็นมากเกินไป ผู้เริ่มหัดเขียนเว็บเพจบางคนมีเนื้อหาที่จะเสนอมากจนเกินไป โดยใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากนำเสนอลงในเว็บเพจทั้งหมด จึงไม่มีอะไรเป็นจุดเด่น บางเว็บเพจใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปด้วย ถึงแม้ว่าดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่ควรมาอยู่บนเว็บเพจ ยกเว้นต้องการนำเสนอตัวเองให้คนอื่นรู้จักการออกแบบที่ดีควรรวบรวมเรื่องต่างๆให้เข้าเป็นหมวดหมู่หรือสร้างหน้ารายการเลือกที่รวมแหล่งเชื่อมโยงซึ่งจะนำผู้อ่านไปสู่หน้าที่แยกกันตามหัวข้อจะดีกว่า
     12.การไม่แสดงแหล่งที่มาถึงแม้ว่าข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตจะเป็นข้อมูลที่เผยแพร่ให้กับทุกๆคน การนำข้อมูลของผู้อื่นมาลงในเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกโดยตรงหรือทำการวิเคราะห์แล้ว ก็ควรให้เกียรติกับเจ้าของข้อมูลด้วยโดยการบอกถึงแหล่งที่มาของข้อมูล และชื่อเจ้าของข้อมูลนั้น
     13.การเชื่อมโยงข้อมูลและข้อมูลที่ไม่ทันสมัย ห ลายครั้งที่ข้อมูลเป็นข้อมูลเก่าไม่ทันสมัย อันเนื่องจากผู้ออกแบบเว็บไม่มีเวลาในการเปลี่ยนข้อมูล จึงควรจะระบุวันที่ เวลา ที่มีการแก้ไขข้อมูลทุกครั้ง เพื่อที่จะรักษาความเป็นปัจจุบันไม่มีใครต้องการที่จะอ่านข้อมูลที่ไม่ทันสมัยหรือเห็นการเชื่อมโยงข้อมูลที่ไม่มีความต่อเนื่อง
     14.การประกาศความรู้สึกที่เป็นลบผู้ออกแบบเว็บมือใหม่บางคนใช้คำเริ่มต้นที่แสดงถึงความไม่มั่นใจในตัวเองหรืออาจใช้คำที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อย เพื่อที่จะแก้ความขวยเขินที่ได้นำเว็บเพจนี้ขึ้นบนอินเทอร์เน็ตเพราะเพิ่งเริ่มหัดเขียนโฮมเพจ ตัวอย่างเช่น ในเว็บเพจภาษาอังกฤษหน้าหนึ่งเริ่มต้นด้วย “This is my stupid page.” เมื่อเริ่มต้นอย่างนี้แล้วก็คงไม่มีใครอยากดูเพราะจะรู้สึกว่าไม่ฉลาดที่ไปดู
     15.ปัญหาการเชื่อมโยงการใช้ข้อความในการเชื่อมโยงควรสื่อความหมายให้เข้าใจได้ชัดเจน การเชื่อมโยงของเนื้อความควรจะมีการเรียบเรียงเนื้อหาให้ต่อเนื่องกันไปถึงบทความที่เหลือ และบทความก็ควรจะแยกเป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ได้ ผู้ออกแบบมักจะใช้ข้อความยาวๆทำแหล่งเชื่อมโยง หรือใช้คำ “คลิก (Click) ที่นี่” ในการเชื่อมโยง ซึ่งควรแทนด้วยการทำไฮไลต์ที่คำสำคัญ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกันภายในบทความได้

     -Word Press คืออะไร WordPress คือ โปรแกรม สำเร็จรูปตัวหนึ่ง ที่เอาไว้สำหรับสร้าง บล็อก หรือ เว็บไซต์ สามารถใช้งานได้ฟรี ถูกจัดอยู่ในประเภท CMS (Contents Management System) ซึ่งหมายถึง โปรแกรมสำเร็จรูปที่มีไว้สำหรับสร้างและบริหารจัดการเนื้อหาและข้อมูลบนเว็บ ไซต์
      WordPress ได้รับการพัฒนาและเขียนชุดคำสั่งมาจากภาษา PHP (เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งตัวหนึ่ง) ทำงานบนฐานข้อมูล MySQL ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับจัดการฐานข้อมูล มีหน้าที่เก็บ เรียกดู แก้ไข เพิ่มและลบข้อมูล การใช้งาน WordPressร่วมกับ MySQL อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตใช้งานแบบ GNU General Public License
      WordPress ปรากฏโฉมครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2546 (2003) เป็นความร่วมมือกันระหว่าง Matt Mullenweg และ Mike Littlej มีเว็บไซต์หลักอยู่ที่http://wordpress.org และยังมีบริการ Free Hosting (พื้นที่สำหรับเก็บทุกอย่างของเว็บ/บล็อก) โดยขอใช้บริการได้ที่http://wordpress.com
         ปัจจุบันนี้ WordPress ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีผู้ใช้งานมากกว่า 200 ล้านเว็บบล็อกไปแล้ว แซงหน้า CMS ตัวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Drupal , Mambo และ Joomla สาเหตุเป็นเพราะ ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่อง Programing มีรูปแบบที่สวยงาม อีกทั้งยังมีผู้พัฒนา Theme (รูปแบบการแสดงผล) และ Plugins (โปรแกรมเสริม) ให้เลือกใช้ฟรีอย่างมากมาย
         นอกจากนี้ สำหรับนักพัฒนา WordPress ยังมี Codex เอาไว้ให้เราได้เป็นไกด์ไลน์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน สำหรับพัฒนาต่อยอด หรือ นำไปสร้าง Theme และ Plugins ขึ้นมาเองได้อีกด้วย หนำซ้ำ ยังมีรุ่นพิเศษ คือWordPress MU สำหรับไว้ให้ผู้นำไปใช้ สามารถเปิดให้บริการพื้นที่ทำเว็บบล็อกเป็นของตนเอง เพื่อให้ผู้อื่นมาสมัครขอร่วมใช้บริการในการสร้างเว็บบล็อก ภายใต้ชื่อโดเมนของเขา หรือที่เรียกว่า Sub-Domain

สรุปสาระสำคัญ
          การ นำเสนองานมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ และให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ การใช้สื่อ โสตทัศนศึกษาช่วยให้เกิดการรับรู้ช่วยให้เกิดการรับรู้ที่ดีขึ้น รวมทั้งช่วยให้จดจำเนื้อหาได้มากขึ้น ทั้งนี้ หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญคือ การดึงดูดความสนใจ ความชัดเจนและเสียงประกอบที่เหมาะสมด้วย
         เครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอผลงานนั้น แต่เดิมมักใช้เครื่องฉายสไลด์และเครื่องฉายแผ่นใสเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันนี้นิยมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพแอลซีดี รูปแบบการนำเสนอที่ยังนิยมใช้กันมากคือ การนำเสนอแบบ Slide Presentation โดยใช้โปรแกรมPowerPoint แต่มีแนวโน้มว่าการนำเสนอแบบ Web Page อาจเข้ามาแทนที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น